ปัจจุบัน การใช้งานปั๊มลมสกรูได้รับความนิยมอย่างมากในอุตสาหกรรมของไทยตั้งแต่อุตสาหกรรมขนาดเล็ก, อุตสาหกรรมขนาดกลาง และ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งจะพบว่า ต้นกำลังหลักๆในการผลิตสินค้าเกือบจะทุกชนิดคือระบบอัดอากาศหรือระบบลมอัด (Compressed air system) และพบว่าต้นทุนหลักของระบบอัดอากาศคือค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน การใช้งานปั๊มลมสกรูในอุตสาหกรรมที่นิยมอยู่จะเป็น สกรูประเภท singlestage กล่าวคือ มีสกรูเพียงชุดเดียวทำงานร่วมกันระหว่างสกรูตัวผู้และสกรูตัวเมียแต่เนื่องจากเทคโนโลยีทางด้าน Mechanical มีการพัฒนาขีดจำกัดซึ่งไม่ได้หยุดอยู่ สกรูแบบ single stage จึงได้มีการคิดค้น หัวสกรูแบบ 2-stage ขึ้นมาเพื่อให้ได้ปริมาณลมอัดที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ การกินไฟของเครื่องปั๊มลมยังกินไฟเท่าเดิม
หลักการทำงานของปั๊มลมสกรู แบบ 2-stage จะค่อนข้างคล้ายกับแบบ single stage แตกต่างกันตรงที่ ปั๊มลมแบบสกรูแบบ 2-stage จะประกอบไปด้วย สกรู 2 ชุด ซึ่งชุดแรกจะเป็นสกรูชุดที่มีขนาดใหญ่กว่าจะดูดอากาศจากภายนอกเข้ามาที่หัวสกรู และจะอัดอากาศ step 1 เพื่อส่งอากาศอัดลงไปยังหัวสกรูชุดที่ 2 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า ซึ่งปั๊มลมสกรูแบบ สกรู 2-stage จะอัดกาศทั้งหมด 2 step ช่วยในเรื่องของปริมาณอากาศที่เพิ่มมากขึ้น และช่วยเรื่องของอุณหภูมิของอากาศอัดจะไม่ได้สูงมากเนื่องจากมีประมาณน้ำมันคอยหล่อเลี้ยงอยู่ในชุดสกรูมากกว่า แบบ single stage ซึ่งสกรูทั้ง 2 ชุดนี้ จะเป็น สกรูฝั่ง low pressure และ high pressure สกรูทั้ง 2 ชุด จะถูกขับเคลื่อนและทดรอบโดยชุด gear box และมีการขับด้วยมอเตอร์ตัวเดียวซึ่งจะสามารถประหยัดค่าไฟไปได้ประมาณ 20-30%
เมื่อเทียบกับปั๊มลมแบบ Single stage ที่ขนาดมอเตอร์เท่ากัน
ปั๊มลมสกรู แบบ 2-stage เหมาะกับอุตสาหกรรมขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่และเหมาะสำหรับอุตสาหกรรม ที่ใช้ลมค่อนข้างเยอะเช่น อุตสาหกรรมการทอ อุตสาหกรรมถุงมือยาง อุตสาหกรรมโรงไฟฟ้า อุตสาหกรรมการขึ้นรูปโลหะ เป็นต้นเพราะว่า ปั๊มลมสกรูแบบ สกรู 2-stage สามารถผลิตปริมาณลมได้มากกว่าแบบ single-stage ทำให้อัตราการกินไฟของแต่ละอุตสาหกรรมนั้นลดลงไปด้วยแสดงถึงว่าต้นทุนในการผลิตสินค้า หรือเรื่องของการใช้ไฟฟ้าภายในโรงงาน จะลดลงไปด้วยนั้นเองอีกทั้งประโยชน์แฝงคือ ปั๊มลมแบบสกรูแบบ 2-stage ยังเหมาะกับอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด หรือพื้นที่น้อย ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้งไปอีกด้วยนั้นเอง